วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต

ปฏิปทาภินิหารพระอาจารย์ในดง พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต
พระอาจารย์ชาญณรงค์ ท่านเกิด 6 เมษายน 2467 จากไปเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2536
พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต นามสกุล ศิริสมบัติ เป็นบุตรของ พระยาศิริสมบัติ มหาเศรษฐีระดับพันล้าน สมัยก่อนสงครามโลก ซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศไทยในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ท่านเรียนจบแพทย์ศิริราชรุ่นหลักสูตรเร่งรัด 2 ปี ในสมัยสงครามโลก

เมื่อเรียนจบยังไม่ทันได้ทำงาน ท่านไปเที่ยวกับเพื่อนสนิท 2 ท่านคือ หม่อมเจ้าไชยเดช พัฒนาเดช และอาจารย์เฉลียว เพื่อนร่วมรุ่นซึ่งสนิทกันมาก ต่างก็เป็นลูกคนมีตระกูลสูงเช่นกัน ท่านประสบอุบัติเหตุตกรถไฟหรือรถรางไม่แน่ใจ แข้งขาหัก เมื่อญาตินำเข้าโรงพยาบาลหมอจะผ่าตัด ญาติผู้ใหญ่ไม่ยินยอมจึงพาไปรักษากับ หลวงปู่พลอย วัดเงิน (วัดรัชดาธิษฐาน) ตลิ่งชัน เพราะท่านเก่งเรื่องหมอ โดยเฉพาะเรื่องกระดูกแล้วเชี่ยวชาญที่สุด หลวงปู่บอกว่าถ้ารักษาหายแล้วให้บวชเณร เจ้าตัวก็ยอมรับ หลวงปู่จึงรักษาให้ทางไสยศาสตร์ โดยให้พากลับบ้านได้ แล้วท่านก็นั่งปั้นหุ่นรักษาแข้งขาที่หักที่ร่างหุ่น ไม่กี่วันเจ้าของร่างทที่ป่วยก็หายเดินได้เป็นปกติ เมื่อหายแล้วจึงรัษาสัจจะกับหลวงปู่ ไปบรรพชาเป็นสามเณร อยู่กับท่าน ทั้งได้ชวนเพื่อนสนิทไปด้วย คือ หม่อมเจ้าไชยเดช และอาจารย์เฉลียวดังที่กล่าวมาแล้ว อยู่กับหลวงปู่ระยะหนึ่ง ท่านก็ส่งสามเณรทั้ง 3 ไปเรียนวิชากับ หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพระปฐมเจดีย์นัก

สามเณรทั้ง 3 อายุ 18-19 อยู่ในวัยกำลังซุกซน วันหนึ่งชวนกันไปเที่ยวขุดหัวมันในป่า อยู่ติดกับวัดนั่นเอง กำลังขุดกันเพลินก็มีเสียงทักขึ้นว่า

“ เณร ทำอะไรกัน”

สามเณรพากันเหลียวดูก็เห็นตาแก่ผิวดำ หัวโล้น นุ่งกางเกงขาก๊วย รูปร่างสูงใหญ่ ยืนยิ้มอยู่ จึงพากันตอบว่า

“ ขุดหัวมันจะเอาไปต้มกิน”.

ตาแก่บอกว่า

“มันสุกอยู่ในดินแล้วขุดขึ้นมาก็กินได้ทันที ไม่ต้องเอาไปต้นหรอก”

เมื่อสามเณรขุดขึ้นมาก็สุกจริงดุจที่ตาแก่บอก จึงมองหน้ากันด้วยความฉงน ตาแก่ถามว่า

“พวกแกว่าฉันเก่งมั้ย อยากเป็นศิษย์ของฉันมั้ย”

ทั้งสามมาจากตระกูลสูง เมื่อมีตาแก่บ้านนอกมาใช้วาจาไม่เป็นที่เคารพ ขึ้นฉัน ขึ้นแก แล้วยังมาอาสาเป็นอาจารย์อีก จึงแสดงความไม่พอใจ พูดสวนขึ้นว่า

“ตาแก่ แกมีดีอะไรหนักหนาถึงบังอาจมาอาสาเป็นอาจารย์ของพวกข้า”ณ

“เอางี้มั้ยพนันกัน ฉันจะให้พวกแก 3 คนนี่ทำร้ายโดยวิธีไหนก็ได้ ถ้าฉันได้รับอันตรายใด ๆจะไม่ถือโทษ แต่ถ้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกแกต้องเป็นศิษย์ไปเรียนวิชากับฉัน

ทั้งสามท่านได้รับคำท้าดังนั้น จึงรีบลุกขึ้นพากันทำร้ายตาแก่คนนั้น บ้างเตะ บ้างต่อย บ้างเอาท่อนไม้ตี เอาก้อนหินทุบขว้าง พยามลงมือกันเป็นเวลานานจนสิ้นเรี่ยวแรง ตาแก่ก็นั่งบนขอนไม้ให้ทำร้ายอย่างไม่สะทกสะท้าน และไม่แสดงกิริยาอากรเจ็บปวดแต่อย่างใดทั้งสิ้น จนทั้งสามท่านล้มนั่งด้วยความเหนื่อยอ่อน ตากแก่หัวเราะฮา ๆ พูดว่า

“พวกแกแพ้ฉันแล้วต้องกราบรับฉันเป็นอาจารย์เดี๋ยวนี้” สิ้นคำสามเณรทั้ ง๓ แล้วหายแวบจากที่นั่นไปโผล่ในดงลี้ลับแห่งในชั่วพริบตา

พระอาจารย์ชาญณรงค์เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ในดงนั้นมีพระและฆราวาสที่อยู่ฝึกวิชากับตาแก่ประมาณ 50 ท่านมีฆราวาสมากกว่าพระ และทุกท่านเรียกตาแก่ว่า “หลวงตาดำ” พระอาจารย์ชาญณรงค์เคยถามชื่อของท่านว่าชื่ออะไรกันแน่ ท่านให้เรียกว่า “หลวงตาดำ” ก็ใช้ได้แล้ว ถามว่าเป็นคนหรือภูต ผี หรือเทวดา ท่านก็ให้จับดู ก็เห็นเป็นคนมีเลือดมีเนื้อเหมือนกัน เมื่อถามถึงอายุ ท่านบอกว่าไม่รู้กี่ปี ท่านร่วมงานพระศพของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นศิษย์ของพระมหากัสสปะ ได้รับมอบหมายให้บำเพ็ญอิทธิบาทธรรมมีชีวิตอยู่ยืนยาวเพื่อรักษาพระศาสนา คราใดที่พระศาสนาเริ่มเสื่อมเศร้าหมอง มีอลัชชีเช้ามาอาศัยในพระศาสนามาก คำสอนอันแท้จริงเริ่มเสื่อม ท่านต้องฝึกลูกศิษย์ขึ้นมาเพื่อช่วยกันสั่งสอนใหม่ ให้กลับคืนสู่เนื้อหาพุทธศาสนาอันจริงแท้

จากคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมาทำให้ทราบว่า ศิษย์ในดงนั้นมีหลายชาติ หลายภาษา หลายทวีป เมื่อใครเข้าไปอยู่ในข่ายฌานของหลวงตาดำ ท่านก็จะไปทรมานแล้วรับมาเป็นศิษย์ฝึกวิชากับท่านในดงลี้ลับซึ่งดงนี้ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใดกันแน่ เพราะไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหน เมื่อหลวงตาดำพาไป ก็ใช้เวลาพริบตาเท่ากัน คนอยู่ในประเทศไหนก็เลยคิดว่าดงนั้นอยู่ในประเทศของตน

ในบันทึกของ พ.อ. ชม กล่าวว่า 4 ธันวาคม 2534 ไปเยี่ยมพระอาจารย์ณรงค์ ท่านไปฝึกอยู่บนภูเขาหิมะ ซึ่งมีความสูงมากในอเมริกา หิมะตกแล้วรอให้จับแข็งเป็นน้ำแข็งไปเมื่อ 31 สิงหาคม 2534 อยู่บนเขาที่มีน้ำแข็ง 2 ลูกเป็นเวลา 20 วัน จ้างเฮลิคอปเตอร์ไปส่งและรับ เที่ยวละ 7-8 หมื่นบาท เอามาม่าและเตาแก๊สไปทำอาหารฉันเอง กางเต็นท์อยู่ ท่านเล่าว่า การเรียนขั้นสุดท้ายนี้ต้องรอให้พร้อมกันทั้ง 8 คน รวมกับคนที่จบแบบฝึกหัดไปก่อนแล้ว มีไทย 3 คน คือ อาจารย์เฉลียว อาจารย์ปทุม อาจารย์ชาญณรงค์ อเมริกา 2 คน เดนมาร์ก 1 คน สิกขิม 1 คน ทิเบต 1 คน (นายราเชน)

ในบันทึกนี้ แสดงให้เห็นว่าศิษย์ของท่านแต่ละรุ่นนี้มีไม่มากและอยู่กันคนละประเทศเท่าที่มีบุญบารมีจะปฏิบัติธรรมได้



ตอนที่ 2 การฝึกวิชากับหลวงตาดำในดงลี้ลับ

สามสหายอยู่ฝึกวิชาฌาน 8 กับหลวงตาดำในดงลี้ลับเป็นเวลาเกือบ 4 ปี เมื่อสำเร็จฌาน 8 ท่านก็ส่งตัวออกมาสู่โลกภายนอกเพื่อมาฝึกวิชาภาคสนามต่อสู้กับกิเลส ตัณหา อันจะเป็นบรรทัดฐานให้ฝึกจิตขั้นสูงโลกุตรธรรมตราบจนถึงพระอรหันต์เป็นที่สุด สหายอีก 2 ท่านสึกออกมาฝึกในเพศฆราวาส มีเพียงท่านอาจารย์ชาญณรงค์เท่านั้นที่ยังเป็นบรรพชิต

เมื่อจบออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว หลักสูตรขั้นแรกคือต้องฝึกลูกศิษย์ให้ได้ 10 คนเป็นอย่างน้อย ตามหลักวิชาฤทธิ์อภิญญาที่เรียนมาจากในดง เพื่อสร้างคนมีคุณภาพไว้สืบพระศาสนา ถึงแม้อยู่ในป่าเขาตลอดก็เรียกว่าศิษย์นอกดงอยู่นั่นเอง ศิษย์นอกดงรุ่นแรกของอาจารย์ชาญณรงค์เท่าที่ทราบมี หลวงพ่อคูณ ผู้โด่งดังในยุคปัจจุบัน เสือดำ ผู้ล่องหนหายตัว ซึ่งต่อมามีบารมีธรรมถึงขนาดหลวงตาดำมารับเข้าไปอยู่ในดงลี้ลับ อีกท่านมีนามว่าอาจารย์ละมูล ส่วนอาจารย์พันเอกชม เป็นศิษย์รุ่นหลัง ซึ่งมีอีกมากมายหลายสิบท่าน ล้านแต่เป็นผู้มีชื่อเสียงในวงสังคม มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง

เสือดำ ผู้มีความสามารถล่องหนหายตัวได้นี้ เพราะเรียนวิชาจากอาจารย์ชาญณรงค์ แต่เรียนหลังจากกลับใจเป็นคนดี ทางโลกไม่สามารถไถ่ถอนได้ง่าย ๆ ทางการจึงตามล่าพบเสือดำอยู่ในกระท่อมน้อยกลางป่าซึ่งเป็นที่ฝึกจิตของเขา ตำรวจจึงล้อมไว้ทุกด้านแล้วกราดปืนยิงอยู่ จนกระท่อมพรุนไปทั้งหลัง ขณะนั้นเสือดำนั่งสมาธิอยู่ แมวที่เลี้ยงไว้ตกใจกระโดดขึ้นนอนบนตักเสือดำ ท่านจึงใช้วิธีกำบังแคล้วคลาดในบัดดล เมื่อตำรวจแน่ใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างแน่นอนแล้ว จึงพากันเข้าไปเคลียร์พื้นที่ พบแต่แมวนอนอยู่ตัวเดียว แต่หาได้รับบาดเจ็บไม่ส่วนร่างของเสือดำไม่ปรากฏ แต่เขาก็ปิดคดีว่าเสือดำสิ้นไปแล้ว และเสือดำก็ถูกหลวงตาดำรับเข้าไปอยู่ในดงลี้ลับตั้งแต่บัดนั้น

การศึกษาในดงของอาจารย์ชาญณรงค์นั้นมีขั้นตอนต่าง ๆ ตามลำดับดังนี้

1. เมื่อเริ่มต้นไปฝึกสมาธิในดง ท่านสั่งให้นั่งสมาธิ รู้สึกนานเตรียมเลิกเอง หลวงตาดำ จะก้าวข้ามหัวไปเหยียบมือเอาไว้ พูดว่า “เอ้านั่งให้มันตายไป”

2. สมาธิดีพอควรแล้วให้ไปนั่งสมาธิในทางเสือผ่าน และสั่งว่าถ้าไม่อยากตายให้นั่งสมาธิ

3. กำหนดให้เดินธุดงค์คู่แล้วเดินเดี่ยวไปในป่าลึก ในป่าประเทศต่าง ๆ หลายแห่ง บางครั้งต้องอาหารหลายวัน

4. สอนให้ใช้พลังจิตจากง่ายไปหายากตามลำดับขั้นของสมาธิ การทำใบไม้ให้เป็นสัตว์ เดินลอดภูเขา เป็นต้น

5. นั่งเข้าฌานให้ได้ในสภาพอากาศต่าง ๆ กัน เช่น เข้าฌานในทะเลทรายที่ร้อนจัดตามที่ท่านกำหนดให้ ฝึกอยู่ในทะเล 20 วัน

6. เดินในเมืองตามเส้นทางที่ท่านกำหนดให้ โดยไม่ให้พักเลย นอนได้วันละ 3 ชั่วโมงไม่ให้เข้าอยู่ใต้ชายคา

7. ไม่ให้พูด 15 วัน และกำหนดเส้นทางให้เดิน

8. ให้เป็นคนขอทานครบ 27 วัน ไม่ให้ใช้เงิน วันหนึ่งให้ขอ 2 คน ขออาหารกิน 5 แห่ง ขอเงินจากคนหนึ่งเพียงบาทเดียว ต่อไปต้องหาใช้คืนเขา 2,500 บาท

9. ช่วยแก้ทุกข์ของคนตามกำหนด เช่น ช่วยรักษาคนป่วยโรคมะเร็ง คนติดเฮโรอีน คนขอย้ายที่ทำงาน เป็นต้น

10. เรียนจบปีที่ 6 แล้วให้โดยลงเหวลึกสลบไป 4 วัน ให้รู้เห็นว่ามีกายทิพย์ออกจากร่างไปเที่ยวไกล ๆ เหมือนคนตายแล้วฟื้น หรือที่ตายจริง เป็นการเรียนรู้การตายว่าตายอย่างๆร

11. นั่งบนน้ำแข็ง 20 วันที่เมืองซีแอตเติล ในอเมริกา

12. ขั้นสุดท้ายฝึกล่องหนหายตัว ขั้นนี้รวมฝึกพร้อม ๆ กัน ทั้ง 8 ท่าน

พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโตฝึกฝนวิชามาถึงข้อ 8 ก็มาเสียเวลาอยู่หลายปี เพราะมีข้อแม้ว่า ถ้าขออาหารเขากินแล้วต้องช่วยเหลือเขา เวลาเขามีทุกข์เดือดร้อน ถ้าแก้ปัญหาเขาไม่เสร็จก็ผ่านไม่ได้ ท่านไปติดเจ้าของโรงสี ซึ่งใช้เวลาหลายปีเขาจึงหมดปัญหา

เมื่อถึงข้อ 10 ท่านเดินธุดงค์ไปในป่าเขาใหญ่ ลงเหวลึก ณ สถานที่แห่งหนึ่งการกระโดดเหวนี้นี่เพื่อทดสอบการเข้าฌานว่าเร็วขนาดไหนคนจะฝึกขั้นนี้ต้องเข้าฌานให้เร็วเป็นวสี พอกระโดดลงไปสามารถเข้าฌานกลางอากาศทันที ร่างของท่านลอยละลิ่วลงกระทบก้อนหินข้างล่างจนสลบไป 4 วัน เมื่อร่างกระทบพื้นและสลบไปนั้นวิญญาณกออกจากร่าง เรียกว่ากายทิพย์ เมื่อคิดจะไปไหนก็ไปได้ทันที ไปปรากฏ ณ สถานที่แห่งนั้น ท่านก็ทดลองทัน โดยนึกไปสนามบิน ท่านไปซื้อตั๋วเครื่องบิน ก็ไม่มีใครเขาได้ยิน ไม่มีใครเขาขายให้ จึงเดินขึ้นเครื่องเอง มีที่นั่งว่างอยู่ที่หนึ่งท่านก็ไปนั่ง นั่งไปนั่งมาพอเครื่องขึ้น แอร์โฮสเตสก็มานั่งทับ ท่านก็รีบลุกขึ้นไปยืนอยู่อีกมุมหนึ่งซึ่งปลอดคน แล้วจดจำชื่อและรูปร่างหน้าตาของพนักงานไว้ และเที่ยวบินนั้นมีใครพอรู้จักบ้างก็ไปทักทายก็ไม่มีใครเห็นท่านสักคน ท่านก็จำลักษณะของเครื่องแต่งกายของเขาไว้ จนเข้ากรุงเทพฯ แล้วก็ไปเที่ยวหาใครต่อใครก็ไม่มีคนเห็นท่าน ถ้าพบพวกวิญญาณด้วยกันก็จะคุยกันได้ ท่านก็จดจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ตอนนั้นไว้เพื่อนำมาสอบหลังจากฟื้น

เมื่อครบ 4 วัน แล้วท่านก็ฟื้นขึ้นมา ร่างของท่านเพียงถลอกปอกเปิกนิดหน่อยเท่านั้น ออกจากดงแล้วท่านก็เข้ากรุงเทพฯ แล้วไปสอบถามคนที่ท่านหมายตาไว้ว่าใครบ้าง ไปถามเขาว่าวันนั้นนั่งเครื่องบินใส่เสื้อผ้าสีนั้นพูดคุยกันอย่างนั้นอย่างนี้ กับคนนั้นคนนี้ใช่ไหม ก็ได้รับคำตอบตรงกับที่เห็นตอนวิญญานไปประสบมานั่นเอง

คนที่ฝึกขั้นนี้ไม่ผ่านก็ต้องตายจริง ๆ นั่นหมายถึง เข้าฌานไม่ทัน ซึ่งต้องเสียชีวิตจริง ๆ แต่สามารถไปฝึกต่อในสัมปรายภพได้เพียงแต่จะเนิ่นช้ากว่ามนุษย์

เมื่อท่านอาจารย์ชาญณรงค์ จบหลักสูตรฝึกในดินแดนน้ำแข็งแล้ว ก็เหลือหลักสูตรสุดท้ายจากนั้นต้องไปฝึกในดงต่อ หลักสูตรการล่องหนหายตัวนี้มักมากับความตายเสมอ เมื่อถึงขั้นนี้หากเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอะไรก็ดีท่านห้ามรักษาไม่ว่าจะด้วยยาสมุนไพรหรือพลังจิต ให้เรียนรู้การเจ็บป่วย อาจารย์ชาญณรงค์ ท่านเป็นริดสีดวงทวาร ลูกศิษย์บางคนก็คะยั้นคะยอให้ท่านไปหาหมอ ท่านรบเร้าไม่ได้ก็ไป แต่บอกว่าตรวจเฉย ๆ ห้ามผ่า ห้ามตัดอะไรของท่าน แต่หมอไม่ฟังได้ตัดเอาชิ้นเนื้อที่งอกออกไปตรวจ ตั้งแต่นั้นแผลก็ลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งเข้าไปถึงลำไส้ ท่านก็ปล่อยไว้อย่างนั้น ไม่ยอมรักษาจนอาการหนักเขานำท่านไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ก่อนจะสิ้นใจ ท่านสั่งโยมอุปัฎฐากไว้ว่า ให้จัดการศพอย่างไรห้ามหมอฉีดยากันเน่าเหม็น ให้คงธรรมชาติไว้ที่สุด เมื่อท่านสิ้นใจแล้วเขาก็แต่งศพท่านตามคำสั่ง แล้วนำศพไปเก็บไว้ที่ศูนย์ฝึกวิชาของท่านแก่ศิษย์ แถววงแหวน พุทธมนฑล เมื่อครบ 7 วัน ก็ทำบุญให้ท่าน เขาเปิดศพดูก็เหมือนคนนอนหลับ ทั้งไม่มีกลิ่นเหม็นใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากกลิ่นอับเท่านั้น พอครบ 50 วัน ก็เปิดศพอีกทีหนึ่ง ปรากฏรูปหน้าไม่ใช่ท่านแล้ว อาจารย์พันเอกชมเอามือเข้าไปควานดูภายในก็มีแต่ความว่างเปล่า หามีร่างของท่าน คงเห็นแต่ภายนอกว่ามีศรีษะ เท้า 2 ข้าง และมือ 2 ข้าง ที่โผล่ออกมา จากผ้า จากการพิจารณาเปรียบเทียบใบหน้าศพกับหน้าของท่านไม่มีร่องรอยสักนิด จึงสันนิษฐานว่าท่านใช้วิชาสับเปลี่ยนร่าง หรือเนรมิตร่างตายแทน แล้วล่องหนหายตัวไปในดงลี้ลับแล้ว
เรื่องราวทั้งหมด เป็นเรื่องจากหนังสือโลกทิพย์ ฉบับที่ 308 ปีที่ 14 พฤศจิกายน 2538

เรียบเรียงโดย สันยาสี ขอบคุณที่มาค่ะ






1 ความคิดเห็น:

  1. ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่อชาญณรงค์ ที่น่าสนใจ อีกมากมาย จะได้นำมาลงในคราวต่อ ๆ ไป

    ตอบลบ